หลายคนมักสงสัยว่าการทำ Speedtest True บนมือถือด้วย 5G หรือ 4G แตกต่างจากการเช็คผ่าน Wi-Fi อย่างไร เพราะแต่ละวิธีสะท้อนประสบการณ์ใช้งานจริงไม่เหมือนกัน การเข้าใจความแตกต่างนี้ช่วยให้คุณตีความผลทดสอบได้แม่นยำและเลือกวิธีแก้ไขปัญหาได้ตรงจุด
ความเร็วสูงสุดที่แตกต่างกัน
- การเชื่อมต่อผ่าน 5G/4G มือถือ มักให้ความเร็วสูงสุดที่รองรับโดยเครือข่ายมือถือและสัญญาณในพื้นที่
- การเชื่อมต่อผ่าน Wi-Fi จะขึ้นกับความเร็วของเน็ตบ้าน True และคุณภาพของเราเตอร์
- ตัวอย่างเช่น เน็ตบ้าน 1 Gbps ผ่าน Wi-Fi 5 อาจได้ความเร็วจริง 600–800 Mbps ส่วนมือถือ 5G ในพื้นที่เดียวกันอาจได้ 200–500 Mbps ขึ้นกับความแรงสัญญาณ

ความเสถียรและ Ping
- เน็ตมือถือมี ความเสถียรต่ำกว่า Wi-Fi เพราะสัญญาณขึ้นกับระยะห่างจากเสาสัญญาณและความหนาแน่นของผู้ใช้ในพื้นที่
- Ping บนมือถือมักสูงกว่าการเชื่อมต่อ Wi-Fi ทำให้เวลาทำ Speedtest จะเห็น latency สูงขึ้นเล็กน้อย
- Wi-Fi บ้านมักมี Ping ต่ำและสม่ำเสมอ เหมาะสำหรับเล่นเกมออนไลน์หรือประชุมออนไลน์
ปัจจัยที่ส่งผลต่อผลทดสอบ
- สัญญาณมือถือ – ความแรงและความหนาแน่นของผู้ใช้ในพื้นที่ส่งผลโดยตรง
- คุณภาพอุปกรณ์มือถือ – มือถือรุ่นใหม่รองรับ 5G/4G คลื่นความถี่สูงกว่า อุปกรณ์เก่าอาจรับความเร็วเต็มไม่ได้
- ระยะทางและสภาพแวดล้อม – ตึกสูง ผนังหนา หรือสภาพอากาศ อาจลดความเร็วมือถือ แต่ Wi-Fi บ้านจะถูกจำกัดด้วยระยะทางจากเราเตอร์และการรบกวนสัญญาณในบ้าน
การตีความผล Speedtest
- ความเร็วที่วัดบนมือถือ 5G/4G แสดงถึง ประสบการณ์ใช้งานมือถือจริง เหมาะสำหรับโซเชียลมีเดีย, สตรีมวิดีโอ และดาวน์โหลดแอป
- ความเร็ว Wi-Fi แสดงถึง ความสามารถสูงสุดของเน็ตบ้าน True เหมาะสำหรับการใช้งานที่ต้องการแบนด์วิธสูง เช่น ดาวน์โหลดไฟล์ใหญ่, ประชุมออนไลน์ หรือเล่นเกม

เคล็ดลับเมื่อทดสอบมือถือ
- ทดสอบในพื้นที่สัญญาณแรง เช่น ใกล้หน้าต่างหรือกลางแจ้ง
- ปิดแอปที่ใช้เน็ตพร้อมกัน เพื่อลดผลกระทบต่อ Speedtest
- ทำหลายครั้งในช่วงเวลาต่างกัน เพื่อดูความเสถียรและค่าเฉลี่ย
- เปรียบเทียบกับ Wi-Fi บ้านเพื่อประเมินว่าเน็ตมือถือเพียงพอต่อการใช้งานหรือไม่
การเข้าใจความแตกต่างระหว่าง Speedtest True บนมือถือกับ Wi-Fi จะช่วยให้คุณตีความผลลัพธ์ได้ถูกต้อง และสามารถปรับปรุงการใช้งานให้เหมาะสมทั้งบนมือถือและเน็ตบ้าน True

